พัฒนาจิตและเจริญปัญญา

โดย พลตรีสุรินทร์ คุ้มจั่น
ท่านจบชั้นเปรียญธรรม 9 ประโยค
(ท่านออกตัวว่าท่านจบการศึกษาจริง ๆ แค่ ป.4 ความรู้ที่ท่านได้รับตั้งแต่ 10 ขวบ - 25 ปี เหมือนตำรายาที่ไม่เคยลืม)
ท่านเกริ่นด้วยการแนะนำตนเอง ว่าในบทบาทหน้าที่การงานด้านทหาร ทำหน้าที่เชี่อมโยงกองกำลังเข้าสู่ธรรมะ นำธรรมะเข้าสู่กำลังพล
เริ่มขึ้นในรัชกาลที่ 6 โดยตั้งเป็น กองอนุศาสดาจารย์ อบรมสั่งสอนทหารเกี่ยวกับศาสนา เกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา
ความดีงามทั้งหมดทั้งปวงในศาสนา ทั้งหมดเป็น นามธรรม ซึ่งการให้เข้าถึงนามธรรมนั้น ผ่านพิธีกรรม
เปรียบกับการเล่นกีฬาหรือทำอะไรเราต้องซ้อม ต้องวอร์มก่อน โหมโรงก่อน แต่กับการทำดี ไม่ต้องโหมโรง การทำความดีในปัจจุบัน ใน 100% ได้บุญเพียง 10%
ปัญหาคนดีคนทำบุญที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม บั้นปลายชีวิตน่ากลัวมาก
พิธีการต้องทำให้ถูก ทำให้ถึง จึงจะได้ บรรยายธรรมในโอกาสที่เอื้อเช่นในงานบุญ งานศพต่าง ๆ
มี 2 วิธีพูด
- โหมโรง แจ้งผู้ร่วมว่างานมีอะไร ขั้นตอนเป็นอย่างไร... (ผู้มาร่วมมี 2 แบบ คือมาร่วมพิธี และมาดูการทำพิธี)
- โหมโรง เล่นบอลตามช่อง (พิธีการมีขั้นตอน เช่นพิธีแต่งงาน จะมีขั้นตอนไล่เรียงมา ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีความหมายทั้งหมด ในขณะที่พิธีการใดดำเนินอยู่ ต้องอธิบายในเรื่องนั้น ๆ ได้ทันท่วงที)
//การจัดงานต่าง ๆ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า เราเดือนร้อนหรือไม่
องค์ความรู้ที่จะนำเสนอวันนี้
ส่วนหนึ่ง คือองค์ความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาเล่าเรียน เป็นพระกว่า 10 ปี (ตอนเรียนอยู่จนนึกว่าตนเป็นพระอรหันต์ด้วยซ้ำ รู้สึกดี ไม่มีความทุกข์ใจ)
10 ปีแรกที่สึกออกมา ร้องให้ทุกวัน สอบไปเป็นร้อยตรี รับราชการ ที่พระพุทธเจ้าสอนมาใช้ได้ไม่ถึงครึ่ง
เป็นการปฏิบัติธรรมะที่มีปัญหาเป็นข้อสอบ
ธรรมมะ อยู่อย่างไรให้มีความทุกข์น้อยท่านกลางการเผชิญปัญหากับโลก ให้มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน ประสบความสำเร็จในครอบครัว
ธรรมะ ก็เหมือนกับไฟแสงสว่าง แค่เปิดไฟสักดวงก็มีแสงสว่าง ก็อยู่ได้
การฟังธรรมและนำไปใช้ให้เกิดผล ต้องไม่ใช่การฟังแบบวิธีการ ต้องเป็นการถ่ายทอดจากใจสู่ใจ จากจิตสู่จิต
ส่วนใหญ่มักหาความรู้ก่อนแล้วจึงไปปฏิบัติ แต่ในทางธรรมะหรือศาสนาต้องเริ่มด้วยศรัทธา
เป็นสิ่งที่สวนกิเลส สวนความต้องการของเรา หากไม่มีศรัทธาเป็นตัวตั้งต้นชีวิตก็จะเหมือนกันนาฬิกา จะวนไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด
เมื่อฟังการบรรยายแล้วให้นำปัญหาเข้าสู่ปัญหาของตัวเอง ทุกคนชีวิตมีปัญหาไม่ต่างกัน ความทุกข์ของคนยุคพุทธกาล กับปัจจุบัน ก็ไม่ต่างกัน
การเข้าสู่ศาสนา สำหรับผู้บรรยาย เดิมความเชื่อว่า เมื่อมีธรรมะเป็นคนดีแล้วจะไม่มีความทุกข์ ความทุกข์ของมนุษย์แม่แบบใด ประสบมาแล้วทุกด้าน ทั้งการถูกใส่ร้ายป้ายสี
การเริ่มต้นการเข้าสู่ศาสนาต้องเริ่มจากศรัทธา เนื่องจากเรื่องของโลกมีเหตุปัจจัยมากมาย ศรัทธาในตัวศาสดาของศาสนานั้น ๆ เพราะถ้าไม่มีศรัทธาเสียแล้ว จะปฏิบัติไม่ได้
ยกตัวอย่าง ข้าราชการตั้งใจในการปฏิบัติงาน
การรู้ธรรม หรือเพียงแค่ศรัทธาธรรม กับการปฏิบัติธรรม ต่างกันการปฏิบัติธรรมเมื่อจิตถึงธรรมแล้วใช้ได้ทุกที การใช้วิธีทางโลกกับทางธรรม เป็นคนละเรื่องกัน
การปฏิบัติธรรม ต้องถึงธรรม
คนจะถึงธรรม ก็ต่อเมื่อคนกับธรรมอยู่ด้วยกัน
คนกับธรรมจะอยู่ด้วยกันได้ ก็ต่อเมื่อ นิ่ง
ธรรมมะเป็น อะกาลิโกยกตัวอย่างต้นมะม่วง เมื่อเราปลูกต้นมะม่วง รดน้ำพรวนดิน จะเห็นก็ต่อเมื่อมันออกผล
วิปาตะ ให้ผลที่จิตใจ (อะกาลิโก)
นิสันทะ ให้ผลเป็นผล (กาลิโก)
เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เราเถียงได้ทุกเรื่อง (เหมือนกับเราสอนเด็ก เด็กจะเถียงได้ทุกเรื่อง) เพราะ อวิชา
หลายคนเอาปัญญานำหน้าศรัทธา ต้องหาเหตุผลก่อนจึงจะลงมือปฏิบัติ จะเหมือนกับนาฬิกาที่วนเวียนไม่รู้จบ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งการลงมือปฏิบัติทันที ปฏิบัติให้ถึง เป็นเรื่องเฉพาะตัว ใครปฏิบัติคนนั้นจึงจะรู้
ยาครอบจักรวาลที่จะใช้ดับทุกข์ได้ทันที
สติกับปัญญาสติส่งออกนอกตัวไปนรก สติอยู่กับตัวไปสวรรค์
สติ = เบรค
ปัญญา = คันเร่ง
การมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา
กายกับใจ(ความคิด)
ความคิด ไม่สามารถคิดเรื่องร้ายและดีได้ในเวลาเดียวกัน สติเป็นตัวกั้นความคิดได้ ฟังแค่รู้ ไม่ปรุงแต่ง
การมีชีวิตในทางโลก กับ การใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขโดยไม่ให้เดือดร้อน ไม่ให้ดิ้นรน ควบคุมความคิดตนเองมีสติได้มาก ต่างกัน เราต้องดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุด วิธีที่สากลคือ (1) อยู่กับลมหายใจเข้า-ออก (2) จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ ทำอะไรอยู่ก็ให้กำหนดลมหายใจ เป็นการสะสมสติ
หากทำไม่ได้ ให้ใช้วิธีสวดมนต์ ไม่ปล่อยให้จิตวิ่งไปเรื่อยเปื่อย
เมื่อถึงเวลาที่เราเผชิญปัญหา ก็สามารถมีสติมายับยั้งมาเบรกไว้ทัน
ทุกวันนี้เราให้อาหารกิเลสโดยไม่รู้ตัว เราต้องสำรวมจิตให้อยู่กับตัว คนโบราณถือว่าจิตอยู่กับตัวเท่าไหร่เท่าไหร่ก็มีความสุขเท่านั้น โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน มีอุปกรณ์มือถือมาเป็นกิเลสอีกตัวที่ดึกสติเราให้ห่างตัวตลอดเวลา วิ่งออกไปรับอารมณ์ แล้วนำมาปรุงแต่งให้เกิดความทุกข์
ให้รับแต่สิ่งที่ดี ๆ ฟังแต่สิ่งดี ๆ คิดแต่สิ่งดี ๆ เข้าไปสู่จิตใจ ไม่รับของเน่าของเหม็น ของเสีย
วิทยากรทิ้งท้ายการบรรยายด้วยคำกล่าวที่ว่า...
ธรรมะในทางพุทธศาสนาทั้งหมดเริ่มด้วยศรัทธา และต้องปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งจึงจะเห็นผล ไม่เลิกทำระหว่างทาง ถ้าเราเชื่อว่าการปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ดี กุญแจสำคัญคือ สติ และ ปัญญา
//ผู้เขียนบันทึกบล็อกนี้ระหว่างเรียน เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ผิดพลาดประการใด หรือบางเนื้อหาบางส่วนไปพาดพิงใคร ต้องขออภัยด้วยนะคะ (น้อมรับทุกความคิดเห็นค่ะ) 🙏🙏
Comments
Post a Comment